เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 17 พฤศจิกายน 64 ที่สำนักงานทนายความคู่ใจ ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายจิระพงศ์ ภูจัตุรัส อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91 หมู่ 8 ตำบลบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เดินทางเข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานชมรมรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมเพื่อให้ช่วยเหลือหลังถูกอตีตภรรยา ที่อยู่กินกันมากว่า10 ปี คือนางสาวมณีวร ไชยจักร อายุ 34 ปี สัญชาติลาวมีลูกด้วยกัน 1 คนได้เลิกลากันมากว่า 3 ปี ผู้แจ้งได้เปิดเบอร์โทรศัพท์ พร้อมเพย์ ผูกกับบัญชีธนาคาร และให้บัตร atm และบัญชีธนาคารกสิกรไทยให้กับนางสาวมณีวร เพื่อจะได้โอนเงินเป็นค่าส่งเสียลูก แต่นางสาวนางมณีวร พร้อมแฟนหนุ่มชื่อแบงค์ได้นำบัญชีดังกล่าวไปหลอกขายพระทางออนไลน์ผ่านเฟสบุ๊ค ทำให้ถูกผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร เบื้องต้นนายจิระพงศ์ ภูจัตุรัส ได้เดินทางเข้าแจ้งความไว้ที่สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2564
นายจิระพงศ์ กล่าวว่า เมียของตนเอาหมายเลขบัญชีของตนไปฉ้อโกงหลอกลวงขายพระ จากนั้นได้มีผู้เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดีกับตน โดยแจ้งข้อหาฉ้อโกง ซึ่งตนรู้สึกตกใจเห็นยอดรวมเงินเข้าออกบัญชีรายปี 2563 จำนวนเงิน 6,200,000 บาท และปี 2564 อีก 700,000 บาท โดยไม่รู้ว่าไปโกงใครมา ส่วนเรื่องบัญชีทำไมถึงอยู่กับเมียเก่าเพราะว่าตอนตนอยู่ด้วยกันกับเมียเก่าตนจะโอนเงินให้ลูกใช้ผ่านบัญชีนี้ ซึ่งเมียเก่าตนเป็นชาวลาวไม่สามารถเปิดบัญชีเองได้ หลังจากเลิกกันเมียเก่าก็ได้ไปมีผัวใหม่แล้วทำ ธุรกิจขายพระ แล้วนำบัญชีตนให้ลูกค้าโอนเงิน และผมก็ต้องมานั่งติดคุกโดยที่ไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาท ตนมารู้อีกทีก็ถูกผู้เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดี ตนพยายามไปแจ้งความแสดงความบริสุทธิ์ใจโรงพักหลายพื้นที่ก็ไม่มีใครรับแจ้งความ ผู้เสียหายตอนนี้มี 1 รายที่มาแจ้งความดำเนินคดีกับตน และมีอีกกว่า 40 ราย ที่รอแจ้งความกับตน ตอนนี้ตนไม่รู้จะทำยังไงต่อไปหมดหนทางเครียดมาก ตนยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่เคยขายพระออนไลน์ตนมีอาชีพขับรถกับทำงานก่อสร้าง
นายจิระพงศ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า อยากฝากถึงเมียเก่าว่า ไม่น่ามาทำแบบนี่กับตนเลยไหนจะต้องเลี้ยงลูกถ้าตนติดคุกแล้วลูกจะอยู่ยังไง คุณทำไปแล้วอยู่อย่างสบายมีบ้านอยู่ แต่ตนต้องนั่งรอเข้าคุกเข้าตารางฐานะก็ยากจนอยู่แล้วทำงานก่อสร้างหาเช้ากินค่ำ ฝากถึงทุกคนว่าถึงจะเป็นเมียก็ไว้ใจไม่ได้พอโดนไปแบบนี้แล้วก็พูดไม่ออก
ส่วนทางด้านทนายรณรงค์ กล่าวว่า ตนเคยย้ำเตือนเรื่องการนำสมุดบัญชี บัตร ATM หมายเลข OTP ว่าอย่านำไปให้ใคร อย่างกรณีนี้ผู้เสียหายได้นำบัตร ATM กับสมุดบัญชี ให้เมียเก่าไว้แล้วเมียเก่าก็นำไปใช้ในการตุ๋นคนอื่นโดยการขายพระ และได้ทำธุรกรรมผ่านแอพ K-plus ก็สามารถนำเงินออกมาได้เลย ซึ่งปีที่แล้วมีเงินเข้าผ่านบัญชีกว่า 6,200,000 บาท และปีนี้ อีก 700,000 บาท ส่วนในด้านกฎหมาย ถ้ามีเงินเข้าบัญชีใครแน่นอนว่าต้องเป็นจำเลยที่ 1 อยู่แล้วที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องดำเนินการและแจ้งข้อกล่าวหาข้อหา ฉ้อโกงหรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนถ้าบริสุทธิ์ใจจริงก็ต้องนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถขยายผลไปสู่คนที่หลอกลวงจริงให้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นศาลและมีเงินประกันตัวอย่างกรณีนี้การจำนวนเงินการประกันตัวก็น่าจะถึงหลักแสน ยังไม่รวมกลุ่มผู้เสียหายที่อยู่ในแชทกลุ่มเฟซบุ๊กอีกหลายราย เบื้องตนจะพาผู้เสียหายเข้าแจ้งความเรื่องนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์จากผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบระวังโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท