เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการปรับเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรสาธารณสุข ว่า เรื่องนี้จะมีการหารือกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลักการคือหากอยู่ในงบประมาณที่ดำเนินการได้หรือให้ได้ก็จะดำเนินการ โดยต้องดูแลทุกวิชาชีพ ไม่แยกดูบางวิชาชีพหรือดูว่าใครทำงานหนักกว่ากัน เนื่องจากทุกวิชาชีพทำงานหนักกันทั้งหมด
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การจ่ายค่าตอบแทนจะใช้เงินบำรุงของโรงพยาบาล สิ่งสำคัญจึงต้องดูเรื่องงบประมาณว่ามีเพียงพอในการจ่ายและไม่เกิดผลกระทบต่อโรงพยาบาลในระยะยาว ซึ่งแต่ละแห่งมีสภาพคล่องทางการเงินแตกต่างกัน จึงต้องพิจารณาเป็นรายโรงพยาบาล โดยตัวเลขที่เหมาะสมจะมีการพิจารณาผ่านคณะกรรมการค่าตอบแทนที่มี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ซึ่งจะมีการประชุมในสัปดาห์นี้ หากมีความชัดเจนแล้วจะออกประกาศต่อไป
ส่วนเรื่องค่าเสี่ยงภัยโควิด 19 นั้น มีทั้งงบเงินกู้และงบกลาง ซึ่งมีระเบียบการใช้แตกต่างกัน โดยงบเงินกู้ต้องขอรับการสนับสนุนผ่านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และต้องแจกแจงข้อมูลอย่างละเอียดและเข้มงวด ซึ่งงบทั้ง 2 ส่วนไม่สามารถนำมาเกลี่ยกันได้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการแยกให้วิชาชีพใดได้รับเงินก่อน ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะพยายามติดตามและจัดสรรให้ครบถ้วนต่อไป
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า บุคลากรที่กระทรวงสาธารณสุขขอรับการสนับสนุนค่าตอบแทนเสี่ยงภัยโควิด 19 ประกอบด้วย กลุ่มวิชาชีพ กลุ่มเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคอื่นๆ และกลุ่มบุคลากรที่สนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยจะต้องเป็นผู้ที่เข้าหลักเกณฑ์การเบิกจ่าย มีการปฏิบัติงานที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย รวมถึงต้องมีคำสั่งมอบหมายหรือให้ไปปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษร โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้รวบรวมข้อมูลการปฏิบัติงานของบุคลากรในจังหวัด พร้อมตรวจสอบและรับรองว่ามีการปฏิบัติงานถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ส่งให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ขอรับการสนับสนุนค่าตอบแทนเสี่ยงภัยโควิด 19 เดือนพฤศจิกายน 2564 – มิถุนายน 2565 รวมทุกกลุ่ม ประมาณ 13,500 ล้านกว่าบาท โดยได้รับการสนับสนุนจากงบเงินกู้ 11,500 ล้านกว่าบาท ซึ่งตามพ.ร.ก.เงินกู้ฯ กำหนดให้จ่ายได้เฉพาะกลุ่มวิชาชีพ กลุ่มเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคอื่นๆ ส่วนกลุ่มสนับสนุนการปฏิบัติงาน ประมาณ 2,000 ล้านบาท ครม. ให้ขอสนับสนุนจากแหล่งงบประมาณอื่น โดยได้ขอรับการสนับสนุนจากงบกลางปี 2565 และได้รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณ 871 ล้านบาท และมีหนังสือแจ้งการจัดสรรไปจังหวัดต่างๆ ลดทอนลงตามสัดส่วน เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2565 โดยให้เร่งรัดเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2565 ส่วนงบประมาณส่วนที่ยังขาด ให้จังหวัดตรวจสอบข้อมูลและรายงานสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ภายในวันที่ 6 ธันวาคม 2565 เพื่อรวบรวม พิจารณา และประสานขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งอื่นกับสำนักงบประมาณต่อไป