วันนี้ (8 มีนาคม 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย พร้อมด้วย นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าว “หญิงตั้งครรภ์ (ต้อง) ปลอดภัย ในสถานการณ์โควิด-19”
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากข้อมูลการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด 6 สัปดาห์ และทารกแรกเกิด ตั้งแต่ 1 เมษายน 2564 ถึง 5 มีนาคม 2565 พบหญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด 6 สัปดาห์ ติดเชื้อโควิดสะสมจำนวน 7,210 ราย ในจำนวนนี้มีเสียชีวิต 110 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.5 ขณะที่มีทารกแรกเกิดที่คลอดจากหญิงกลุ่มนี้ มีจำนวน 4,013 ราย พบทารกแรกเกิดติดเชื้อโควิด 319 ราย คิดเป็นร้อยละ 8 เสียชีวิต 67 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.6 ซึ่งแนวโน้มการติดเชื้อของกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ และหญิงหลังคลอด 6 สัปดาห์ มีแนวโน้มที่เริ่มสูงขึ้น
สอดคล้องกับการระบาดระลอกใหม่ของสายพันธุ์โอมิครอน โดยข้อมูล 4 สัปดาห์ย้อนหลัง ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 6-12 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา จะพบการติดเชื้อของหญิงกลุ่มนี้รายสัปดาห์ที่ 59 คน 71 คน 157 คน และ 224 คน ตามลำดับ แสดงให้เห็นถึงอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้น หญิงตั้งครรภ์ และหญิงหลังคลอด 6 สัปดาห์ จึงต้องเฝ้าระวังกันอย่างเข้มข้น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตให้น้อยลง เพราะจากข้อมูลผลการสำรวจอนามัยโพล ต่อประเด็นความกังวลของหญิงตั้งครรภ์ในสถานการณ์โควิด-19
พบว่า ภาพรวมร้อยละ 98 มีความกังวลต่อสถานการณ์ โดยมีความรู้สึกกังวล ตั้งแต่ระดับปานกลางขึ้นไป ถึงร้อยละ 70 ซึ่งเรื่องที่ทำให้กลุ่มหญิงตั้งครรภ์เหล่านี้ รู้สึกกังวลมากที่สุดคือ การระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์โอมิครอน รองลงมาคือ สังคมการ์ดตกในการดูแลป้องกัน และกังวลว่าสถานที่ต่าง ๆ ไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด สำหรับในส่วนของการเฝ้าระวังความเสี่ยงตนเองของกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ จากผลสำรวจอนามัยโพล พบว่า กว่าร้อยละ 80 มีการเฝ้าระวังความเสี่ยงของตนเองเป็นประจำ โดยสิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือ สังเกตอาการตนเองเบื้องต้น พบถึงร้อยละ 82 รองลงมาคือ หากพบว่าตนเองเสี่ยง จะตรวจด้วย ATK มีการตรวจวัด อุณหภูมิตนเอง ประเมินตนเองผ่าน “ไทยเซฟไทย” หรือการใช้แอปพลิเคชันอื่น ๆ
“ทั้งนี้ การป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยการฉีดวัคซีน เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ เพื่อสร้างความปลอดภัย ซึ่งในกลุ่ม หญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด 6 สัปดาห์ ที่ติดเชื้อโควิด จำนวน 7,210 ราย พบว่า กว่าร้อยละ 87 ไม่ได้รับวัคซีน แต่หากได้รับวัคซีน 2 เข็ม จะมีอัตราตายที่ลดลงเกือบ 10 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน โดยข้อมูลข้อมูลการฉีดวัคซีนของหญิงตั้งครรภ์ ในภาพรวมล่าสุด พบได้รับการฉีดอย่างน้อย 1 เข็มแล้ว จำนวน 117,385 คน ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เร่งฉีดวัคซีนโควิดเชิงรุกแก่หญิงตั้งครรภ์ ตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย โดยการฉีดวัคซีนนั้น หญิงตั้งครรภ์รับการ ฉีดวัคซีนได้ทุกอายุครรภ์ และสามารถให้พร้อมกับวัคซีนอื่น ๆ ที่จำเป็นในขณะตั้งครรภ์ได้ ส่วนหญิงที่มาคลอด และยังไม่เคย ได้รับวัคซีน ให้ฉีดวัคซีนโควิดก่อนกลับบ้าน ในกรณีที่ยังไม่สมัครใจฉีด ก็ขอให้ฉีดบุคคลในครอบครัวให้ครบตามเกณฑ์ก่อน” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ทางด้าน นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดูแลหญิงตั้งครรภ์ในกรณีติดเชื้อ หากไม่มีโรคประจำตัว หรือภาวะครรภ์เสี่ยงสูง สามารถแยกกักตัวที่บ้านได้ แต่ให้งดเยี่ยมระหว่างแยกกักตัว รักษาระยะห่าง งดการสัมผัสกับผู้สูงอายุและเด็ก แยกห้องพัก ที่นอน ของใช้ส่วนตัวกับผู้อื่น เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ไม่ควรนอนร่วมกัน ในห้องปิดที่ใช้เครื่องปรับอากาศ และหลีกเลี่ยงการกินอาหารร่วมกัน มีการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อออกจากที่พัก ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ ทุกครั้งที่สัมผัสกับผู้อื่น และหยิบจับของ แยกซักเสื้อผ้า ผ้าขนหนู และเครื่องนอน ด้วยสบู่หรือผงซักฟอก ควรใช้ห้องน้ำแยกจากผู้อื่น หากเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้คนสุดท้าย หมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ เตรียมถังขยะส่วนตัวที่มีฝาปิดมิดชิด และของใช้ส่วนตัว ทั้งในบริเวณที่นอน และห้องน้ำ
“ทั้งนี้ อาการที่ควรเฝ้าระวังในกรณีแยกกักตัวที่บ้าน คือ 1) ท้องแข็งบ่อย เลือดออกทางช่องคลอด น้ำใส ๆ ไหลออกทางช่องคลอด 2) อาการของครรภ์เป็นพิษ เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ นอกจากนี้ อาการที่ควรแจ้งแพทย์ และเข้ารับการรักษาทันที คือ กลุ่มผู้ป่วยสีแดงที่มีอาการรุนแรง ต้องรีบเข้ารับการรักษาตัวโดยเร็ว ซึ่งมีอาการดังนี้ 1) ระบบหายใจมีปัญหารุนแรง ทำให้หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หากเอกซเรย์จะพบปอดอักเสบรุนแรง 2) เกิดภาวะปอดบวมจากการเปลี่ยนแปลง ความอิ่มตัวของเลือดน้อยกว่า 96 เปอร์เซ็นต์ หรือลดลง 3 เปอร์เซ็นต์ จากค่าที่วัดได้ในตอนแรก และ 3) แน่นหน้าอกตลอดเวลา และหายใจเจ็บหน้าอก ตอบสนองช้า หรือไม่รู้สึกตัว” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว