ชาวกาญจน์ โวยอดีตเจ้าอาวาส สั่งทุบโบสถ์เก่า อ้างทรุดโทรมหวั่นพังถล่ม ปล่อยทิ้ง 2 ปีไม่สร้างให้เสร็จ ซ้ำแอบลาออกย้ายไปวัดอื่น
เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2565 ผู้สื่อข่าว จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากชาวบ้านห้วยน้ำขาว ในพื้นที่หมู่ 2 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ว่า ที่วัดบ้านห้วยน้ำขาวกำลังประสบปัญหาไม่มีโบสถ์สำหรับใช้ประกอบศาสนพิธี เนื่องจาก พระครูวิโรจน์กาญจนเขต อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านห้วยน้ำขาว ได้สั่งทุบโบสถ์หลังเดิมซึ่งมีอายุกว่า 40 ปีทิ้งไป แต่ผ่านไปกว่า 2 ปี กลับไม่มีการสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้นมาแทน อีกทั้งยังลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านห้วยน้ำขาว และย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอุทยาน ต.บางขุนกอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
นายบุญยัง อินทอง อายุ 82 ปี ชาวบ้านห้วยน้ำขาว กล่าวว่า โบสถ์หลังที่ถูกเจ้าอาวาสสั่งทุบทิ้ง โดยอ้างเหตุผลว่าทรุดโทรมหนักจนไม่สามารถซ่อมแซมได้นั้น ไม่เป็นความจริง แม้โบสถ์หลังนี้จะมีอายุกว่า 40 ปี แต่การก่อสร้างโบสถ์หลังนี้ ออกแบบโดยวิศวกรของบริษัทเหมืองแร่ชื่อดัง มีการออกแบบและใช้วัสดุก่อสร้างอย่างดี แม้โบสถ์จะใช้งานมานานแต่ยังแข็งแรง จะมีชำรุดทรุดโทรมบ้างบริเวณรางน้ำเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ยังแข็งแรงดี
โบสถ์เก่าที่ถูกทุบทิ้ง
นายบุญยัง กล่าวต่อว่า เมื่อทราบข่าวว่าเจ้าอาวาสจะทุบโบสถ์ทิ้งเพื่อสร้างใหม่ ชาวบ้านต่างรวมตัวคัดค้าน เพราะมั่นใจว่าโบสถ์ยังแข็งแรงดี แต่ทางเจ้าอาวาสยังแอบนำเจ้าหน้าที่เข้ามาทุบโบสถ์ทิ้งจนได้ โดยหลังทุบโบสถ์ไปเมื่อประมาณปี 2563 ผ่านมากว่า 2 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีการสร้างโบสถ์หลังใหม่ให้แล้วเสร็จ อีกทั้งเจ้าอาวาสยังแอบไปลาออกกับเจ้าคณะตำบล โดยไม่รับผิดชอบต่อโบสถ์ที่ถูกทุบและยังสร้างไม่แล้วเสร็จ ทิ้งให้เป็นภาระของชาวบ้านที่จะต้องหาเงินมาสร้างกันเอง
สภาพโบสถ์ภายหลังถูกทุบ
นายบุญยัง กล่าวอีกว่า การสร้างโบสถ์สมัยนี้ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 40-50 ล้านบาท ถือว่าเป็นเงินที่เยอะมาก ชาวบ้านไม่รู้ว่าจะไปหาจากไหน และอยากให้อดีตเจ้าอาวาสที่เป็นคนสั่งทุบรับผิดชอบสร้างโบสถ์หลังใหม่ให้แล้วเสร็จให้ได้
ด้าน น.ส.อิศราวรรณ ชุ่มชื่น อายุ 55 ปี ชาวบ้านห้วยน้ำขาว กล่าวว่า ทุกวันนี้ชาวบ้านในพื้นที่เวลาจะบวชลูกหลาน ก็ไม่สามารถมาบวชที่วัดได้ เพราะไม่มีโบสถ์ ต้องพาลูกหลานไปบวชที่วัดอื่นแทน ตนเองอยากจะเรียกร้องให้อดีตเจ้าอาวาสที่เป็นผู้สั่งทุบโบสถ์ออกมาแสดงความรับผิดชอบ โดยการสร้างโบสถ์หลังนี้ให้แล้วเสร็จ เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ไม่เดือดร้อน
ขณะที่พระโสภณกาญจนาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี พร้อมเจ้าคณะตำบลบ้านเก่า ได้นิมนต์ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านห้วยน้ำขาว มาพูดคุยหารือถึงแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกับชาวบ้าน โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองกาญจนบุรี เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย
ชาวบ้านยืนยันว่าต้องการให้ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต ดำเนินการสร้างโบสถ์หลังใหม่ให้แล้วเสร็จ เพราะเป็นผู้ที่สั่งทุบโบสถ์หลังเก่าทิ้ง โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของชาวบ้าน จึงต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ทิ้งภาระไว้ให้ชาวบ้านเช่นนี้
ส่วน พระครูวิโรจน์กาญจนเขต เจ้าอาวาสวัดอุทยาน อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านห้วยน้ำขาว กล่าวว่า สาเหตุที่สั่งให้ทุบโบสถ์หลังเก่าทิ้ง เพราะเห็นว่าโบสถ์มีสภาพเก่า ชำรุดทรุดโทรมหลายจุด ไม่สามารถที่จะบูรณะซ่อมแซมให้ใช้งานได้ดีเหมือนปกติ หากซ่อมแซมก็สามารถใช้งานได้ไม่กี่ปีก็จะพังเหมือนเดิม หากโบสถ์พังถล่มลงมาอาจจะสร้างอันตรายให้กับพระสงฆ์และชาวบ้านได้ แต่ที่ยังไม่สามารถสร้างโบสถ์หลังใหม่ให้แล้วเสร็จ เป็นเพราะยังหาเงินมาสร้างได้ไม่พอ จึงสามารถทำได้เพียงสร้างพระประธาน ก่อฐานพระ และก่อกำแพงเท่านั้น
พระครูวิโรจน์กาญจนเขต กล่าวต่อว่า ส่วนเหตุผลที่ตัดสินใจไปลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านห้วยน้ำขาว เพราะตนมีอาการอาพาธ จึงอยากกลับไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดแถวบ้านเกิดใน จ.นนทบุรี เพื่อจะได้ให้ญาติโยมช่วยดูแลเรื่องสุขภาพ ไม่ได้คิดจะผลักภาระหรือทิ้งภาระในการสร้างโบสถ์หลังใหม่ให้ชาวบ้าน แต่หากจะให้ตนรับผิดชอบสร้างโบสถ์หลังนี้ให้เสร็จด้วยตนเองก็คงไม่สามารถทำได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระครูวิโรจน์กาญจนเขต ยืนยันว่าจะช่วยชาวบ้านโดยการให้ญาติโยมช่วยกันบริจาคเงินสมทบทุนสร้างโบสถ์หลังนี้ให้แล้วเสร็จ โดยจะนำเงินมาร่วมทำบุญทุกปี แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าปีละจำนวนเท่าไร ส่วนเงินที่ยังขาด ชาวบ้านก็ต้องช่วยกันหามาเสริม เพื่อสร้างโบสถ์หลังใหม่นี้ให้เสร็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า แม้ชาวบ้านที่เดินทางมาร่วมรับฟังการหารือแก้ปัญหา จะไม่พอใจกับคำตอบของอดีตเจ้าอาวาส แต่ไม่สามารถที่จะไปบังคับได้ เนื่องจากปัจจุบัน พระครูวิโรจน์กาญจนเขต ได้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสของวัดอุทยานแล้ว ทำให้ชาวบ้านต้องพยายามหาเงินมาช่วยสร้างโบสถ์หลังใหม่นี้ให้แล้วเสร็จ เพื่อจะได้มีโบสถ์สำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างถูกต้องต่อไป