บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI ต้อนรับผู้บริหารจาก 8 ธนาคารพันธมิตร แนะนำคณะผู้บริหารและโครงสร้างองค์กรใหม่แบ่งธุรกิจเป็น 7 Business Unit เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ชูแผนยุทธศาสตร์ “Growth Together เติบโตต่อเนื่องไปด้วยกัน” เผยแผนครึ่งปีหลังเตรียมเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 10,700 ล้านบาท ดันยอดขายและรายได้ทั้งปีตามเป้าหมาย
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ต้อนรับผู้บริหารจาก 8 ธนาคารพันธมิตร ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ เข้าเยี่ยมชมโครงการแกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา เพื่อแนะนำคณะผู้บริหาร โครงสร้างองค์กรใหม่ และแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง ตลอดจนแลกเปลี่ยนมุมมองทางเศรษฐกิจเพื่อนำมาปรับใช้ในการดำเนินงาน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ โดยมี Co – Chief Executive (Co-CEO) 2 ท่าน และแบ่งโครงสร้างธุรกิจเป็น 7 Business Unit (BU) ภายใต้การดูแลของผู้บริหาร (Chief Business Unit) แต่ละ BU เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ “BRITANIA GROWTH TOGETHER เติบโตต่อเนื่องไปด้วยกัน”
สำหรับปี 2565 บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ ใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ระยอง อุดรธานีและขอนแก่น มูลค่าโครงการรวม 13,400 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 2 โครงการ มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท และช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดตัวอีก 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,700 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์บริทาเนียและแกรนด์บริทาเนีย
กลยุทธ์หลักจะมุ่งเน้นการขยายทำเลพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในจังหวัดที่มีศักยภาพ ทั้งจังหวัดปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกที่จะได้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ และความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับแหล่งงาน ตลอดจนความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ ทั้งการร่วมทุนพัฒนาโครงการ เช่น การร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาโครงการบริทาเนีย โฮม บางนา กม.17 และบริทาเนีย ทาวน์ บางนา กม.17 มูลค่าโครงการรวม 2,600 ล้านบาท เป็นต้น ความร่วมมือยกระดับโครงการและการให้บริการแก่ลูกบ้าน เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ระบบสมาร์ทวิลเลจ การให้บริการด้านสุขภาพแก่ลูกบ้าน เป็นต้น พร้อมทั้งให้พนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบซัพพลายเชนได้ร่วมเติบโตไปด้วยกัน
“จากแผนธุรกิจที่วางไว้เรามั่นใจจะสามารถทำยอดขาย (พรีเซล) ในปีนี้ 11,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 7,250 ล้านบาทตามเป้าหมาย หลังจากภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลาย การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และเปิดประเทศส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ โดยในช่วงไตรมาส 1/2565 สามารถทำนิวไฮ มียอดขาย 2,378 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 1,483 ล้านบาท รวมถึงกำไรสุทธิ 353 ล้านบาท” นางศุภลักษณ์ กล่าว